“บิ๊กโจ๊ก” สั่งเดินหน้าเอาผิดคดีซื้อบริการทางเพศเด็กที่สุราษฎร์ฯ ให้พนักงานสอบสวนขออำนาจศาลถอนประกันผู้ต้องหาทั้งหมด หลังเข้ามายุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ลั่นต้องทำอย่างจริงจัง เอาผิดทุกคนที่เกี่ยวข้อง
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าของคดีการจับกุมผู้องหาในคดีซื้อบริการทางเพศเด็กและเป็นธุระจัดหาในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ว่า กรณีของคดีค้ามนุษย์ในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานีนั้น ก่อนหน้านี้ประมาณ 2 เดือนเศษ ได้มีการสืบสวนและจับกุมผู้ต้องหาที่เป็นผู้ใช้บริการทั้งทหาร แพทย์และลูกของอดีตนักการเมือง รวม 11 ราย และจับกุมขบวนการที่เป็นเอเย่นในส่วนของธุระจัดหาและค้ามนุษย์ อีก 6 ราย ในส่วนของลูกชายอดีตนักการเมือง แพทย์หรือทหาร ที่ผ่านมากลุ่มนี้จับกุมดำเนินคดีและมีความเห็นทางคดีส่งสำนวนคดีสั่งฟ้องไปยังพนักงานอัยการแล้ว
“เหตุที่ต้องลงมาดำเนินการอีกรอบนั้น หลังจากมีการดำเนินคดีไปแล้ว มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม มีการพยายามที่จะช่วยเหลือบุคคลบางส่วนในพื้นที่ มีการกดดันและทำร้ายร่างกายเด็ก รวมถึงการกดดันหัวหน้าบ้านพักหัวหน้าเด็กฯ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบเด็ก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องจัดเจ้าหน้าที่ลงมาดำเนินการร่วมกับตำรวจภูธร จ.สุราษฎร์ธานีอีกครั้ง จากการตรวจสอบพบว่า มีการแทรกแซงกระบวนการสอบสวนจริง จึงได้มีการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน รวมถึงคำยืนยันของหัวหน้าบ้านพักเด็กฯ ว่ามีรองอธิบดีกรมกรมกิจการเด็ก และเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็ก 1 คน เข้าไปขัดขวางการสอบสวนสืบสวนในคดีนี้”
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการดำเนินคดีนั้น ได้มีการตั้งข้อกล่าวไปแล้วในความผิดฐาน 157 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ขัดขวางสืบสวนสอบสวนคดีความผิดฐานค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นอัตราโทษที่หนักพอสมควร โยในส่วนของผู้ต้องหากลุ่มแรกที่มีบางส่วนเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ซึ่งได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนมีหนังสือขออำนาจศาลเพื่อให้เพิกถอนการประกันทั้งหมด และกลับสู่เรือนจำอีกครั้ง ขณะนี้ศาล จ.สุราษฎร์ธานีอยู่ในขั้นตอนของการไต่สวน
“ฉะนั้นความผิดฐานค้ามนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยทำ มีการทำมาตลอดเพียงแต่ว่าในคราวนี้ ในส่วนของผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่มีตำแหน่งใหญ่ ซึ่งได้มีการเรียนนายกรัฐมนตรีและรองนายกฯ ประวิทย์ฯ รวมถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปแล้ว ซึ่งท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เน้นย้ำให้ดำเนินคดี อย่างชัดเจน และให้ความเป็นธรรมกับทุกส่วน ดังนั้นในการบังคับใช้กฎหมายไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหารหรือเจ้าหน้าที่รัฐในส่วนไหนก็ตามมีการบังคับใช้กฎหมายเหมือนกันหมด จึงไม่มีอะไรที่น่าหนักใจ”
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวถึงวิธีการแทรกแซงคดีฯ ว่า คงไม่สามารถเปิดเผยให้ได้มาก แต่บอกได้เพียงคร่าวๆ ว่า มีการโทรศัพท์ไปหาหัวหน้าบ้านพักเด็กฯ ให้หยุดการดำเนินการให้เด็กไปให้การเพิ่มเติม เพื่อจะช่วยเหลือผู้ต้องหา ส่วนของเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กที่ตกเป็นผู้ต้องหาด้วยนั้น ได้มีการใช้ไม่ทุบตีเด็ก กับมีการยื่นข้อเสนอให้เด็ก ดังนั้นตนในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการค้ามนุษย์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากไม่มีการเอาจริงเอาจัง กระบวนการค้ามนุษย์หมดสิ้นไปลำบาก รวมทั้งไม่มั่นใจในเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะต้องไม่ลืมว่า การปล่อยให้มีการทำร้ายเด็กในสถานที่ราชการเป็นเรื่องใหญ่ ต่อไปในอนาคตเมื่อนำเด็กมาเข้าสู่บ้านพักเด็กฯ หากไม่ดำเนินการให้ชัดเจน เด็กก็จะไม่ไว้วางใจเจ้าหน้ารัฐ และต้องไม่ลืมว่า เมื่อมีการทำร้ายร่างกายเด็กในสถานที่ราชการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กจึงต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงไป ไม่เช่นนั้นการทำงานทั้งหมดก็จะไม่เกิดผล สิ่งสำคัญวันนี้ไม่ใช่เรื่องการสืบสวนสอบสวนเท่ากับการรักษาบาดแผลในจิตใจของเด็ก และการเยียวยานำเด็กกลับเข้าสู้สังคม และต้องไม่ลืมว่าเด็กไม่ควรอยู่ในสถานที่นี้ แต่ควรจะต้องไปอยู่โรงเรียน
อย่างไรก็ตามในส่วนของลุกอดีตนักการเมืองนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เท่าที่ทราบมีการดำเนินคดีไปแล้วในเรื่องการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา การฆ่าเต้าหน้าที่รัฐ และข่มขืนกระทำชำเรา แต่ตนยังไม่ทราบในรายละเอียดว่าถูกดำนินคดีไปแล้วในคดีใดบ้าง ขอไปตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง ส่วนการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ตกเป็นเหยื่อนั้น ได้มีการนำเด็กทั้งหมดไปเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองพยาน ที่กรุงเทพมหานครแล้ว ดังนั้นเด็กยังมีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมอยู่ และยังยืนยันคำให้การเดิมทุกอย่าง รวมถึงพ่อแม่เด็กก็จะมีความเชื่อมั่นด้วยและขณะนี้มีการแจ้งข้อมูลเบาะแสเข้ามาเป็นจำนวนมาก ก
กรณีการโยกย้ายรองอธิบดีและเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นั้นเป็นมาตรการทางวินัย มาตรการทางการปกครอง ของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มองว่าทุกที่คงดำเนินการเหมือนกันหมด นิ้วไหนร้ายก็ต้องตัดออก ส่วนการตรวจสอบคงต้องให้ความเป็นธรรมกับรองอธิบดีฯ คนที่ถูกกล่าวหาด้วย ในเรื่องของคดีก็ต้องว่ากันไป ส่วนทางการปกครองเป็นเรื่องของต้นสังกัด ซึ่งการโยกย้ายก็เป็นผลดีในการดำเนินคดีอยู่แล้ว เพราะจะทำให้เหยื่อและเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กฯ ที่ตั้งใจทำงานว่า เมื่อทำงานแล้วจะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากผู้ใหญ่ ส่วนของกระบวนการสอบสวนสามารถดำเนินการได้ไม่มีปัญหา เพราะเรื่องของอาญากับวินัยนั้นมีการแยกกันอยู่แล้ว แต่เป็นการดำเนินการคู่กัน