รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดภูเก็ต รับฟังปัญหาที่ดิน ส.ป.ก. และการบริหารจัดหารน้ำของจังหวัดภูเก็ต พร้อมการผลักดันผลผลิตทางการเกษตรเชื่อมโยงการท่องเที่ยวแบบครบวงจร
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ พื้นที่อ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เพื่อพบปะพี่น้องเกษตรกร พร้อมรับฟังปัญหาที่ดิน ส.ป.ก. และการบริหารจัดหารน้ำของจังหวัดภูเก็ต โดยมี นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต รวมให้การต้อนรับพร้อมบรรยายถึงสถานการณ์ดังกล่าวของจังหวัดภูเก็ต
จังหวัดภูเก็ตมีพื้นที่ในเขตปฏิรูป ที่ดินที่นำมาดำเนินการตามประกาศเขตปฏิรูปที่ดินฯ จำนวน 13 ตำบล ใน 3 อำเภอ มีเนื้อที่ 32,372 ไร่ ซึ่งพื้นที่ที่นำมาดำเนินการจัดที่ดินได้ มี 10 ตำบล ใน 3 อำเภอ มีเนื้อที่ 13,184 ไร่ ได้แก่ ตำบลรัษฎา ตำบลกะรน ตำบลฉลอง ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต ตำบลกะทู้ ตำบลกมลา ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ และตำบลเชิงทะเล ตำบลศรีสุนทร ตำบลป่าคลอก อำเภอถลาง ซึ่ง ส.ป.ก.ภูเก็ต ได้ดำเนินการจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินแล้ว 583 ราย 687 แปลง เนื้อที่ 9,701 ไร่ ในพื้นที่ 10 ตำบล 3 อำเภอ
ทั้งนี้ จังหวัดภูเก็ต ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก ที่ปัญหาของพื้นที่เขตปฏิรูป โดยรวมเป็นเนินเขา ไม่มีที่ราบทัศนียภาพมองเห็นทะเล (sea view) เหมาะสม ต่อการ ใช้ประโยชน์ที่ดินเกี่ยวกับกิจการบริการนักท่องเที่ยวที่สามารถทำรายได้สูงมาก สร้างฐานะความเป็นอยู่ทีดีแก่เกษตรกร และราคาที่ดินสูงมากเกิดข้อโต้แย้งสิทธิ และผู้ครอบครองที่ดิน มีความต้องการใช้ประโชน์ที่ดินเพื่อบริการนักท่องเที่ยวในกิจการต่าง ๆ เช่น กิจการ โรงแรม รีสอร์ท ที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร โดยมีแนวทางในการแก้ปัญหา คือ จัดที่ดินชุมชน ตามประกาศคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (คปก.) เรื่อง การจัดที่ดินชุมชนในพื้นที่ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ประกาศ คปก. เรื่อง รายการกิจการอื่นที่เป็นการสนับสนุนหรือเกี่ยวเนื่องกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และจัดที่ดินโดยสิทธิการเช่าทำรายได้เข้าสู่กองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
นอกจากนี้ ในส่วนของการบริหารจัดการน้ำที่ปัจจุบันความต้องการใช้น้ำของจังหวัดภูเก็ตอยู่ในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งปริมาณน้ำจากอ่างเก็บน้ำทั้ง 3 อ่าง ของกรมชลประทาน ที่สามารถสนับสนุนในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ในอนาคตอาจไม่เพียงพอจากการขยายตัวที่มากขึ้น จึงได้มีการวางแผนในการจัดหาแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่มเพิ่มเติม เช่น การพัฒนาอ่างเก็บน้ำที่มีอยู่เดิมทั้ง 3 อ่าง ให้มีประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำเพิ่มขึ้น การพัฒนาขุมเหมืองในพื้นที่ร่วมกันระหว่างภาคเอกชนและส่วนราชการในการสำรองน้ำในช่วงฤดูฝน เพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยมีการจัดทำแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งการแก้ไขปัญหาระยะสั้นและระยะกลางที่น่าสนใจคือ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บอ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ ที่จะเพิ่มปริมาณน้ำกักเก็บได้ 600,000 ลบ.ม. ส่วนระยะกลาง คือ โครงการสูบผันน้ำบ้านโคกโตนด-อ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ เพื่อนำน้ำจากลุ่มน้ำคลองถลาง ที่มีอยู่ประมาณ 40 ล้าน ลบ.ม./ปี มาเติมในอ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ ในช่วงฤดูแล้ง
จากนั้น ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหนังสือสัญญาเช่าเพื่อกิจการสนับสนุนเกี่ยวเนื่อง ให้แก่ บริษัท อาร์ อี คิว จ้ากัด ซึ่งเป็นกิจการผลิตน้ำจืดสำหรับอุปโภคบริโภคในจังหวัดภูเก็ต พร้อมมอบกล่องบรรจุภัณฑ์โครงการส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร ให้แก่กลุ่มแปลงใหญ่สับปะรดภูเก็ต จำนวน 1,500 ใบ มอบปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ สารเร่ง พด.1,2,3,6,14 จำนวน 5 ราย และ มอบป้ายเงินอุดหนุนโครงการสร้างความเข้มแข็งกลุ่มการผลิตด้านการประมง จำนวน 100,000 บาท ให้แก่ 3 ชุมชน พร้อมมอบพันธุ์ปลากะพงทอง เพื่อนำไปขยายพันธุ์ในพื้นที่เกษตรต่อไป
ในโอกาสนี้ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทักทายชาวบ้านและเกษตรกร พร้อมเปิดรับฟังปัญหาของเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งได้มีการร้องขอให้มีการออกโฉนดในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดิน ที่ได้ทำกินมาเป็นเวลานาน พร้อมร้องของให้รัฐมนตรีช่วยเร่งรัดการดำเนินโครงการต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับประโยชน์ในที่ดินทำกินของเกษตรกร และร้องขอให้รัฐมนตรี ช่วยผลักดันให้ผลผลิตทางการเกษตรเชื่อมโยงการท่องเที่ยว เนื่องจากจังหวัดภูเก็ตมีรายได้จากการท่องเที่ยว จึงไม่ควรมองข้ามเกษตรที่สร้างรายได้ให้กับประชาชนด้วย
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า การลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตในครั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนประโยชน์จากที่ดิน ส.ป.ก. ให้กับประชาชน เกษตรกรตามประกาศเขตปฏิรูปที่ดินอย่างทั่วถึง และเท่าเทียมกับทุกพื้นที่ของประเทศไทย ส่วนการบริหารจัดการน้ำ อาจจะต้องมีการจัดการแหล่งน้ำแห่งใหม่มาเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำให้เพียงพอกับความต้องการ และจะมีการผลักดันผลผลิตทางเกษตรของจังหวัดภูเก็ตให้มีการเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวแบบครบวงจร เพื่อจะดึงเม็ดเงินมาเพิ่มมากขึ้นให้กับจังหวัดภูเก็ต