เปิดใช้แล้ว บริการระบบ Biometric ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล เพิ่มช่องทางอำนวยความสะดวก ให้แก่ผู้โดยสาร เริ่มตั้งแต่ 1 พ.ย.ภายในประเทศ และ 1 ธ.ค.สำหรับอาคารต่างประเทศ เชื่อทำให้ผู้โดยสารมีความสะดวกมากขึ้นไม่ต้องรอคิวนาน
นายมนต์ชัย ตะโหนด ผู้อำนวยการท่าอากาศยานภูเก็ต (ผภก.) พร้อมด้วย ผู้บริหาร ได้นำสื่อมวลชน ชมระบบการเปิดใช้บริการระบบ Biometric สำหรับผู้โดยสารภายในประเทศและอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางในการอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานภูเก็ต โดยมี นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ร่วมสังเกตการณ์ และทดลองใช้ระบบ และมี สื่อมวลชนในภูเก็ต เข้าร่วม ณ ท่าอากาศภูเก็ต
นายมนต์ชัย กล่าวว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) โดยท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) เปิดใช้บริการระบบ Biometric สำหรับผู้โดยสารภายในประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารให้ได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว และช่วยลดระยะเวลาการรอคิวของกระบวนการผู้โดยสาร
โดยระบบดังกล่าว เป็นระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Automated Biometric Identification System: Biometric) โดยนำเทคโนโลยี Facial Recognition มาใช้ในการระบุตัวตนของผู้โดยสาร ซึ่งผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนใช้งาน ณ ท่าอากาศยาน ได้ 2 วิธี คือ (1) ผู้โดยสารสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่สายการบิน ที่เคาน์เตอร์เช็กอิน เพื่อลงทะเบียนใบหน้าในระบบ Biometric ผ่านเครื่องตรวจบัตรโดยสาร (Common Use Terminal Equipment : CUTE) หรือ (2) ผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนผ่านเครื่องเช็คอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (Common Use Self Service : CUSS) ซึ่งระบบจะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลใบหน้าและข้อมูลเอกสารการเดินทางของผู้โดยสารในรูปแบบของ Token เป็นการยินยอมให้ใช้ข้อมูล Biometric สำหรับการเดินทางเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ดังนั้น เพื่อเพิ่มช่องทางอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารใน 3 กระบวนการ คือ การโหลดกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop : CUBD) การตรวจสอบยืนยันตัวตนผู้โดยสาร
(Passenger Validation System : PVS) และขั้นตอนการขึ้นเครื่อง (Self-Boarding Gate : SBG) โดยไม่ต้องแสดงบัตรประชาชน หรือ หนังสือเดินทาง (Passport) และ Boarding Pass อีกต่อไป
ซึ่งระบบดังกล่าว ทอท. เปิดใช้บริการสำหรับผู้โดยสารภายในประเทศ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา และในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 จะเปิดให้บริการสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ พร้อมกันทั้ง 6 ท่าอากาศยาน ของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.), ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.), ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.), ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.), ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.)
นายมนต์ชัย กล่าวต่อว่า ผู้โดยสารที่ลงทะเบียนใช้งานระบบ Biometric ผ่านเครื่องเช็คอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (CUSS) ต้องใช้บัตรประจำตัวประชาชนแบบ Smart Card หรือ หนังสือเดินทาง (Passport) เท่านั้น สำหรับผู้โดยสารที่ลงทะเบียนใช้งานผ่านเคาน์เตอร์เช็กอินของสายการบิน สามารถใช้เอกสารแสดงตนที่ออกโดยรัฐ ตามประกาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) อาทิ บัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ บัตรประตัวข้าราชการ เป็นต้น รวมถึงผู้เดินทางที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือผู้ที่มีอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Act : PDPA)
จะแบ่งออกเป็น 2 หลักเกณฑ์ คือ กรณีอายุไม่เกิน 10 ปี จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง และกรณีที่มีอายุเกินกว่า 10 ปี สามารถลงทะเบียนผ่านระบบฯ ได้ โดยไม่ต้องได้ความยินยอมจากผู้ปกครอง ทั้งนี้ ในการใช้บริการระบบ Biometric นั้น จะมีเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์คอยอำนวยความสะดวก และแนะนำการใช้งานในทุกขั้นตอน