ผู้การฯ ภูเก็ต ระบุเบื้องต้นแจ้งข้อหาชายชาวคาซัคสถานอยู่เกินกฎหมายกำหนด ส่วนข้อหาอื่นๆ ยังไม่แจ้ง
จากกรณีเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนักธุรกิจชาวรัสเซีย ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังก่อเหตุคนร้ายได้หลบ
สำหรับความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (8มิ.ย.) พล.ต.ต.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนหาข่าว และรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ จนทราบตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นใครตามขั้นตอน โดยในส่วนของผู้ต้องสงสัยรายนี้สามารถควบคุมตัวได้ที่สนามบินภูเก็ตขณะจะขึ้นเครื่อง เนื่องจากได้มีการแจ้งรายชื่อเฝ้าระวังไว้ และการตรวจสอบ
เบื้องต้นพบว่า ผู้ต้องสงสัยรายดังกล่าวโอเวอร์สเตย์ หรืออยู่เกินเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงต้องดำเนินคดีในข้อหาอยู่ในราชอาณาจักรเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดก่อน ส่วนประเด็นอื่นๆ อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน สาเหตุการก่อเหตุในครั้งนี้สันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากความขัดแย้งของธุรกิจ ส่วนผู้บาดเจ็บยังอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ด้านการสอบสวนยังอยู่ระหว่างการเก็บรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม และค้นหาอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ ซึ่งคาดว่า มีการนำไปทิ้งไว้ที่ขุมน้ำใกล้กับจุดที่พบเสื้อผ้าของผู้ก่อเหตุ ขณะที่การสอบปากคำผู้ต้องสงสัยยังไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร โดยขอรอเจ้าหน้าที่จากสถานทูตคาซัคสถาน ประกอบกับต้องใช้ล่ามในการแปลภาษา เนื่องจากเขาไม่พูดภาษาอังกฤษ
พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค8 กล่าวเพิ่มเติมว่า การก่อเหตุดังกล่าวน่าจะทำเป็นกลุ่มขบวนการที่ใช้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ก่อเหตุ ก่อนจะหลบหนี
ขณะที่ พ.ต.อ.นฤวัต พุทธวิโร ผกก.ตม.ท่าอากาศยานภูเก็ต กล่าวถึงมาตรการและการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีบัญชีดำหรือแบล็คลิสต์ว่า ปัจจุบันระบบการคัดกรองผู้ที่จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทยผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง กรณีบุคคลนั้นๆติดบัญชีดำหรือแบล็คลิสต์ รวมไปถึงอาชญากรจากทั่วโลกที่มีหมายจับจากประเทศนั้นๆหรือจากตำรวจสากล ระบบจะแสดงผลที่หน้าจอของเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจทันที เมื่อบุคคลนั้นๆจะผ่านด่านตรวจเข้ามา ในส่วนล่ากรณีชายชาวคาซัคสถานที่ก่อเหตุยิงนักธุรกิจชาวรัสเซียได้รับบาดเจ็บ เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น ไม่มีบัญชีดำหรือแบล็คลิสต์ โดยจากพฤติกรรมและการใช้อาวุธปืนไม่น่าใช้มือปืนรับจ้าง
